Tesla สรุปผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2024 ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์ 443,956 คัน ซึ่งลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าที่นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Tesla สามารถส่งมอบรถยนต์ได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ คือ การปรับลดราคาและการนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยเฉพาะในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ยอดขายของ Tesla ในประเทศจีน ซึ่งรวมถึงยอดขายภายในประเทศและการส่งออกไปยังยุโรปและประเทศอื่นๆ ลดลง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีน รวมถึงการที่คู่แข่งหลายรายเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่มีราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า
นอกจากนี้ Tesla Energy ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานของ Tesla ก็มีผลประกอบการที่โดดเด่น โดยมียอดติดตั้งผลิตภัณฑ์กักเก็บพลังงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.4 GWh ในไตรมาสที่ 2 นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจพลังงานของ Tesla ในอนาคต
นักวิเคราะห์มีมุมมองต่อผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Tesla ที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น Morgan Stanley มองว่าผลประกอบการในไตรมาสนี้เป็นสัญญาณบวก และได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้น Tesla ขึ้นเป็น $300 เนื่องจากเชื่อมั่นในความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่ยังคงแข็งแกร่ง และมองว่า Tesla จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ในอนาคต
ในขณะเดียวกัน Bernstein ยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความท้าทายที่ Tesla ต้องเผชิญในอนาคต เช่น การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่อาจลดลงในบางตลาด พวกเขาคาดการณ์ว่า Tesla อาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของยอดส่งมอบในปีนี้ได้ เว้นแต่จะลดราคาลงอย่างมาก หรือเสนอเงื่อนไขทางการเงินที่ดึงดูดใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม JPMorgan มองว่าการที่ Tesla สามารถกลับมาผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น จะช่วยปรับปรุงสถานการณ์ด้านเงินทุนหมุนเวียนและกระแสเงินสดอิสระ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อบริษัท
หลังจากการประกาศผลประกอบการ ราคาหุ้น Tesla ปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของ Tesla ในระยะยาว แม้ว่าบริษัทยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในอนาคต