วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดัง ได้เทขายหุ้นจำนวนมาก รวมถึงหุ้น Apple ถึงครึ่งหนึ่ง และเพิ่มเงินสดสำรองของบริษัท Berkshire Hathaway เป็นประวัติการณ์ในไตรมาสที่สอง การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจและมูลค่าตลาดที่อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
บัฟเฟตต์เป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นมา 7 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว เนื่องจากมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป อย่างไรก็ตาม การเทขายหุ้นในไตรมาสล่าสุดถือว่ามีความรุนแรงมากขึ้น โดย Berkshire Hathaway ขายหุ้นมูลค่ากว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่มเงินสดสำรองเป็น 2.77 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด
หลายคนมองว่าการเทขายหุ้นครั้งใหญ่นี้เป็นสัญญาณเชิงลบต่อตลาดและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรายงานข้อมูลการจ้างงานที่น่าผิดหวังเมื่อเร็ว ๆ นี้
บัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้น Apple เมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เนื่องจากปกติแล้วเขาจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม การถือครองหุ้น Apple ของ Berkshire Hathaway เพิ่มขึ้นอย่างมากจนถึงจุดหนึ่งที่คิดเป็นครึ่งหนึ่งของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ดังนั้น บางคนจึงเชื่อว่าการตัดสินใจขายทำกำไรในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง
นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ยังเคยกล่าวไว้ในที่ประชุมประจำปีของ Berkshire Hathaway เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า การขายหุ้น Apple อาจเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางภาษี อย่างไรก็ตาม ขนาดของการเทขายในไตรมาสล่าสุดบ่งชี้ว่าอาจมีเหตุผลมากกว่าแค่การประหยัดภาษี เนื่องจากยังมีหุ้นอื่น ๆ ในพอร์ตที่มีต้นทุนต่ำกว่า Apple ที่เหมาะสมกว่าในการขายเพื่อลดภาระภาษี
การเทขายหุ้นครั้งใหญ่นี้ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในวันจันทร์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยดัชนี Dow Jones Industrial Average ร่วงลงถึง 1,000 จุดในช่วงหนึ่ง ขณะที่ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นร่วงลง 12% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ Black Monday ในปี 1987